CR . พงศกร เอี่ยมองค์ CEO New Cambridge Institute

บทบาทของ Learner Autonomy กับ IELTS

ปลดล็อกความสามารถที่ซ่อนอยู่ มาพิชิต IELTS ด้วย Learner Autonomy

คงไม่มีใครเถียงว่า ภาษาอังกฤษคือประตูสู่โอกาสในชีวิต ทั้งการเรียนต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนำ การทำงานในองค์กรระดับโลก หรือแม้แต่การเปิดโลกให้กว้างขึ้น การพัฒนาภาษาอังกฤษแบบมืออาชีพ อย่างถาวร และมีโครงสร้างชัดเจน จำเป็นต้องมีตัวชี้วัดตามมาตรฐานระดับนานาชาติ เช่น IELTS

การทำคะแนน IELTS ให้ได้ band สูงนั้น ไม่ได้จบแค่การท่องศัพท์หรือจำหลักแกรมม่า ไวยากรณ์เท่านั้น แต่รวมถึงความสามารถในการคิดวิเคราะห์อย่างมีหลักการ

จะเตรียมตัวสอบยังไง จะฝึกยังไง ให้ได้ผลดีและเร็วที่สุด?

มารู้จักกับ Learner Autonomy หรือ การเรียนรู้ที่มีผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง  ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่จะเปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยน Mindset และติดเทอร์โบให้กับการเตรียมตัวสอบ IELTS อย่างยั่งยืนถาวร

Learner Autonomy ไม่ใช่การเรียนด้วยตัวเอง แต่คือ การเป็นเจ้าของการเรียนรู้ เป็นการเรียนรู้ที่ประมวลผลออกมาจากตัวผู้เรียน หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า Learner Autonomy คือการที่อาจารย์ปล่อยให้เด็กไปอ่านหนังสือหรือทำแบบฝึกหัดเอง แต่จริงๆ แล้วมันลึกซึ้งกว่านั้นมาก

การเปรียบเทียบง่ายๆ ให้เห็นภาพ

การเรียนแบบดั้งเดิม

อาจารย์ Lecturer เป็นผู้ป้อนความรู้ นักเรียนเป็นผู้รับสาร รอให้อาจารย์บอกว่าต้องทำอะไร อ่านหน้าไหน หรือตอบแนวไหน ตอบอย่างไร

การเรียนแบบ Learner Autonomy

อาจารย์เปลี่ยนบทบาทเป็น ผู้ชี้แนะ Facilitator หรือโค้ช Coach คอยตั้งคำถามกระตุ้นความคิด ชี้แหล่งข้อมูล และสร้างแรงบันดาลใจ ส่วน นักเรียน จะกลายเป็นนักสำรวจ Explorer ที่ต้องรับผิดชอบเป้าหมายของตัวเอง หัดตั้งคำถาม ค้นคว้าหาคำตอบ และเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของตนเอง

หัวใจของการสอนแบบนี้คือการสร้าง “ทักษะการเรียนรู้” Learning how to learn เมื่อนักเรียนเจอโจทย์ที่ไม่เคยเห็น แทนที่จะรอคำตอบจากอาจารย์ นักเรียนจะเริ่มคิดว่า จะหาคำตอบนี้ได้จากไหน?  หรือจะประยุกต์ apply ความรู้ที่มีอยู่มาใช้ได้อย่างไร?  ความรู้สึกภูมิใจเมื่อหาคำตอบได้ด้วยตัวเอง คือเชื้อเพลิงชั้นดี ทำให้การเรียนรู้กลายเป็นเรื่องสนุกและน่าตื่นเต้น

Learner Autonomy ช่วยให้พิชิต IELTS ได้อย่างไร?

ข้อสอบ IELTS ไม่ได้วัดว่าเราท่องจำมาเยอะแค่ไหน แต่วัดว่าเราสามารถ ใช้ภาษาอังกฤษ เพื่อสื่อสารในสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกับชีวิตจริงในรั้วมหาวิทยาลัยได้ดีเพียงใด ซึ่งทักษะเหล่านี้สอดคล้องกับแนวคิด Learner Autonomy อย่างแยกไม่ออก

ทีนี้มาพิจารณาแต่ละทักษะ

ทักษะการฟัง Listening และ การอ่าน Reading

ไม่ใช่แค่การ “ได้ยิน” หรือ “อ่านออก” แต่คือความสามารถในการจับใจความสำคัญ แยกแยะข้อมูลหลัก ข้อมูลสนับสนุน การเดาความหมายจากเนื้อหา และการเข้าใจทัศนคติของผู้พูดหรือผู้เขียน

Autonomous Learner ทำอย่างไร?

ไม่ใช่แค่นั่งทำแบบฝึกหัดในหนังสืออย่างเดียว แต่ต้องค้นคว้าหาคอนเทนต์ที่ตัวเองสนใจ เช่น ฟัง Podcast เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ดูสารคดี BBC หรืออ่านบทความจาก The Guardian นอกจากนั้นควรฝึกตัวเองให้คุ้นเคยกับสำเนียงที่หลากหลาย เช่นสำเนียงอังกฤษ อังกฤษท้องถิ่น อเมริกา ออสเตรเลีย เอเชีย หรือแม้แต่อินเดีย เป็นต้น หรือเรื่องคำศัพท์เมื่อเจอศัพท์ใหม่ๆ ก็จะสามารถเดาความหมายได้ แล้วจึงค่อย search เพื่อทำความเข้าใจให้ถูกต้องและลึกซึ้ง

ทักษะการเขียน WritingTask 1 & 2

นักเรียนไทยมักพบว่า พาร์ทเขียนนั้นยากที่สุด เพราะต้องสามารถวิเคราะห์ข้อมูลกราฟหรือแผนภาพได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าต้องวิเคราะห์ข้อมูลให้รอบคอบ การสร้างและนำเสนอข้อโต้แย้งอย่างเป็นระบบ และสรุปด้วยแนวทางที่ตนเองเชื่อ การใช้ศัพท์เชิงวิชาการ และการเรียบเรียงความคิดอย่างมีตรรกะ ถ้าเรามีทักษะในการวิเคราะห์ Analytical skillsไม่ดีพอ การเขียนบทความนั้น อาจดูไม่น่าเชื่อถือหรือไม่น่าสนใจ

Autonomous Learner ทำอย่างไร?

แทนที่จะรอหัวข้อจากอาจารย์ เราควรหัดตั้งคำถามกับสิ่งรอบข้าง จากโลกรอบตัว เช่น “โซเชียลมีเดียมีผลกระทบต่อสุขภาพจิตจริงหรือไม่?” จากนั้นค้นคว้าข้อมูล จากหลายๆ แหล่งเพื่อสร้างมุมมองของตัวเอง แล้วฝึกเขียนเรียบเรียงความคิดนั้นออกมาเป็นบทความ การค่อยๆเรียนรู้ในการวางโครงสร้างของบทความ การตรวจทานงานเขียนของตัวเอง Self-edit และปรับปรุงแก้ไข ซึ่งเป็นกระบวนการเดียวกับการเขียนงานวิชาการในระดับมหาวิทยาลัยทั้งตรี โท และเอก

ทักษะการพูด Speaking

เราจะสร้างการพูดการสื่อสารที่ลื่นไหลได้อย่างไร ? การฝึกฝนสำคัญมาก ควรฝึกออกความคิดเห็นในหัวข้อที่หลากหลายตั้งแต่เรื่องส่วนตัวไปจนถึงปัญหาสังคม ปัญหาของโลกที่ไกลตัวออกไป  อาจดูแนวข้อสอบ IELTS ที่มีมากมายในอินเตอร์เน็ต และวิเคราะห์ดูว่าเราสามารถอธิบายขยายความอย่างมีเหตุผลได้คล่องแค่ไหน

Autonomous Learner ทำอย่างไร?

ไม่ต้องรอให้อาจารย์มาคอยฟังตลอด ซ้อมพูดหน้ากระจกก่อนเลย แล้วฝึกพูดกับเพื่อน กับ AI เมื่อเริ่มมั่นใจอาจเข้าร่วมชมรมโต้วาทีภาษาอังกฤษ หาเพื่อนต่างชาติออนไลน์เพื่อแลกเปลี่ยนภาษาและความคิดเห็นต่างๆ หรือแม้แต่ฝึกอัดเสียงตัวเองพูดตอบคำถาม IELTS แล้วกลับมาฟังเพื่อวิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนของตัวเอง หัดคิดเป็นภาษาอังกฤษ และแสดงความเป็นตัวของตัวเองออกมา

ทีนี้มาดู Case Studies กัน

ความสำเร็จจากนักเรียน 3 วัฒนธรรม

วัฒนธรรมการเรียนรู้ที่แตกต่างกันก็สามารถนำหลักการ Learner Autonomy ไปปรับใช้ให้เกิดผลสำเร็จได้

ศุภจี นักเรียนไทย

พื้นเพ เติบโตมากับระบบการศึกษาที่เน้นการบรรยายและท่องจำ ไม่กล้าถาม ไม่กล้าแสดงความเห็นเพราะกลัวผิด กลัวเพื่อนล้อ มีความรู้ด้านไวยากรณ์ดี แต่ไม่สามารถนำมาใช้สื่อสารได้อย่างเป็นธรรมชาติ

การเปลี่ยนแปลง อาจารย์เปลี่ยนจากการ “บอก” มาเป็นการ “ถาม” แทนที่จะให้หัวข้อเขียนเรียงความตรงๆ อาจารย์ให้ศุภจีเลือกประเด็นข่าวที่น่าสนใจมาหนึ่งเรื่อง แล้วไปค้นคว้าเพิ่มเติมเพื่อมานำเสนอและเขียนสรุปความคิดเห็นของตัวเอง ช่วงแรกศุภจีอาจรู้สึกอึดอัด แต่เมื่อเริ่มค้นพบว่าตัวเองสามารถแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่ชอบ เช่น แฟชั่น ได้ ศุภจีก็เริ่มสนุกและมั่นใจขึ้น

ผลลัพธ์ คะแนน IELTS Writing และ Speaking ของศุภจีพุ่งสูงขึ้นอย่างชัดเจน เพราะศุภจีไม่ได้เขียนหรือพูดจากสิ่งที่ท่องจำมา แต่มาจากความคิดที่ผ่านการค้นคว้าและตกผลึกด้วยตัวเอง

 

ลิซ่า นักเรียนจากเอเชียตะวันออก

พื้นเพ  มีวินัยสูงมาก สามารถทำแบบฝึกหัด Reading และ Listening ได้คะแนนเกือบเต็มเสมอ แต่เมื่อถึงการสอบ Speaking กลับตัวแข็งทื่อ ปวดท้อง เหงื่อแตก พูดได้ช้าและไม่เป็นธรรมชาติ เพราะกังวลเรื่องความสมบูรณ์แบบของไวยากรณ์และกลัวเสียหน้าหากพูดผิด

การเปลี่ยนแปลง  อาจารย์แนะนำให้ลิซ่าเริ่มจาก “Small Talk” โดยให้การบ้านเป็นการไปคุยกับเพื่อนต่างชาติในมหาวิทยาลัยวันละ 5 นาทีในหัวข้อที่ไม่เป็นทางการ และให้จดโน้ตสั้นๆ ว่าได้เรียนรู้สำนวนหรือศัพท์ใหม่ๆ อะไรบ้าง ไม่เน้นการจับผิดไวยากรณ์ แต่เน้นที่ความกล้าที่จะสื่อสาร

ผลลัพธ์ ลิซ่าค่อยๆ ลดความกลัวในการพูดผิด ลิซ่าเริ่มเข้าใจว่าการสื่อสารสำคัญกว่าความสมบูรณ์แบบ ทำให้การพูดในห้องสอบ IELTS ลื่นไหลและแสดงทัศนคติได้ดีขึ้นมาก

 

ทรัมป์ นักเรียนจากตะวันตก

พื้นเพ  มีความมั่นใจในการพูดสูงมาก สามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างคล่องแคล่ว แต่การเขียนและการพูดขาดโครงสร้างที่เป็นระบบ ขาดคำศัพท์เชิงวิชาการ และมักใช้ภาษาง่ายๆ ไม่เป็นทางการเกินไปสำหรับข้อสอบ IELTS

การเปลี่ยนแปลง  อาจารย์ไม่ได้สอนเนื้อหา แต่สอน “เครื่องมือ” ให้ทรัมป์โดยแนะนำให้ลองอ่านบทบรรณาธิการจากหนังสือพิมพ์ แล้วให้วิเคราะห์โครงสร้างของบทความนั้นๆ เช่น ผู้เขียนใช้ประโยคใดเป็น Statement? , ผู้เขียนยกตัวอย่างอะไรมาสนับสนุน?  จากนั้นให้ทรัมป์ลองนำโครงสร้างที่วิเคราะห์ได้มาใช้กับงานเขียน IELTS ของตัวเอง

ผลลัพธ์ ทรัมป์เรียนรู้ที่จะจัดระเบียบความคิดของตนเองให้เป็นระบบมากขึ้น ทำให้คำตอบของทรัมป์ทั้งในส่วน Writing และ Speaking มีความลุ่มลึก น่าเชื่อถือ และตรงตามเกณฑ์การให้คะแนนของ IELTS ในระดับสูง

สรุปก้าวแรกสู่การเป็น Autonomous Learner

 เปลี่ยนจากการเป็น “ผู้รับ” มาเป็น “ผู้สร้าง” การเรียนรู้ของตนเอง คือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดในการเตรียมตัวสอบ IELTS และการเรียนรู้ตลอดชีวิต Lifelong Learning เราไม่จำเป็นต้องรอให้ใครมาป้อน แต่สามารถเริ่มต้นได้ทันที

  1. ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน ไม่ใช่แค่ “อยากเก่งอังกฤษ” แต่เป็น “เราจะอ่านข่าวภาษาอังกฤษให้เข้าใจโดยไม่เปิดดิกชันนารี ไม่ search คำศัพท์ ให้ได้ 2 ข่าวภายในสัปดาห์นี้”
  2. เรียนรู้จากสิ่งที่รัก เช่น ชอบดูหนัง ลองเอาซับไตเติ้ลออก ชอบเล่นเกม ลองเปลี่ยนภาษาห้องจอเป็นภาษาอังกฤษ
  3. เปลี่ยนความผิดพลาดให้เป็นบทเรียน เมื่อทำแบบฝึกหัดผิด อย่าแค่ดูเฉลย แต่ให้วิเคราะห์ว่า ทำไมเราถึงผิด? และเราจะป้องกันไม่ให้ผิดซ้ำได้อย่างไร?
  4. มองอาจารย์เป็นโค้ช ใช้เวลาเรียนให้คุ้มค่าด้วยการถามคำถามที่ผ่านการคิดมาแล้ว ไม่ใช่ถามในสิ่งที่หาคำตอบเองได้ง่ายๆ

การพิชิตคะแนน IELTS ที่ตั้งใจไว้ อาจไม่ได้มีทางลัด แต่การมี Learner Autonomy เป็นเข็มทิศ จะทำให้ทุกคนไม่หลงทางและไปถึงจุดหมายได้อย่างสวยงามและยั่งยืนถาวรแน่นอน